1. ชื่อโครงงาน “แว่นขยายจากขวดน้ำ”
2.ชื่อผู้จัดทำโครงงาน
เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/3 โรงเรียน.......................................
3.ชื่อครูที่ปรึกษา ...................................................
4.ระยะเวลา วันที่ 3 มีนาคม
ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2557
5. ที่มาและความสำคัญของการทำโครงงาน
การบูรณาการการการเรียนรู้
เรื่อง“การหักเหของแสง” ที่ครูผู้สอนอธิบายให้เด็กได้ฟัง
ให้มองเห็นจากสื่อการเรียนการสอนที่นำมาประกอบการสอน ตลอดจนปฏิบัติและทดลอง ทำให้เด็กๆ ได้สัมผัสของจริง จากกิจกรรมการทดลอง “การสร้างอุปกรณ์ขยายภาพด้วยตัวเอง”
ทำให้เห็นว่าแว่นขยายทำให้มองเห็นวัตถุมีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม
ซึ่งในชีวิตประจำวันเรามองตัวเองในกระจก จะเห็นตังเองในกระจกมีขนาดเท่าเดิม
ถ้าต้องการขยายภาพวัตถุเล็กๆให้มีขนาดใหญ่ขึ้นสามารถทำได้โดยใช้เลนส์นูนซึ่งอาจมองผ่านแจกัน
แก้วหรือ
ขวดแก้วที่มีน้ำอยู่ รวมถึงใช้แว่นขยาย หรือกล้องจุลทรรศ์ส่องดู จากกิจกรรมทดลอง“การสร้างอุปกรณ์ขยายภาพด้วยตัวเอง”ในโครงการ“บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย”
โยงไปสู่การสรุปเพิ่มเติมของครูผู้สอน
เพื่อให้เด็กเข้าใจในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มากขึ้น โดย จัดกิจกรรมการเล่านิทาน และสำรวจสิ่งต่างๆรอบห้องเรียน
โดยขณะที่ครูเล่านิทานให้เด็กใช้แว่นขยายจากขวดน้ำส่องตัวหนังสือและรูปภาพในนิทานตาม
และให้เด็กๆส่องดูสิ่งต่างๆรอบห้องเรียน
เพื่อการเรียนรู้บูรณาการที่หลากหลายจากวิทยาศาสตร์ โยงไปสู่
คณิตศาสาตร์ ศิลปะ และภาษาที่ใช้ในการสื่อสารให้เด็กได้ ฟัง
พูด คิด
และปฏิบัติจนสำเร็จและได้แนวคิดไปปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อทบทวนเพิ่มเติมให้เด็กในกิจกรรม “การสร้างอุปกรณ์ขยายภาพด้วยตัวเอง
”ให้เด็กเห็นถึงความสำคัญของการใช้แว่นขยายจากขวดน้ำ ทำไมตัวหนังสือและรูปภาพจึงขยายใหญ่ขึ้น
ระยะห่างของการส่องทำไมเห็นรูปภาพหรือวัตถุมีขนาดแตกต่างกัน
6.
วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน
6.1. เพื่อให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
6.2. เพื่อให้เด็กฝึกสังเกต การคิด
การตั้งคำถาม การค้นหาคำตอบด้วยตนเอง 6.3. เพื่อให้เด็ก
มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องแว่นขยาย และสนใจในการทดลองตามกระบวนการทางวิท
6.4. เพื่อให้เด็กสนใจร่วมกิจกรรมและบูรณาการทักษะวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะและภาษาไทย
6.5. เพื่อให้เด็กพัฒนาพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้ง 4
ด้านจากกิจกรรมอย่างมีความสุขเพื่อการจดจำที่ดี
7.
ขั้นตอนการทำโครงงาน
7.1.
เด็กและครูร่วมกันสนทนา เรื่องราวจากนิทานเรื่อง “ แกะเกเร”และสิ่งต่างๆรอบห้องเรียน
เด็กๆสังเกตตัวหนังสือ รูปภาพในนิทาน
ที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และสนทนาร่วมกันระหว่างตัวหนังสือ และรูปภาพที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีความแตกต่างกันอย่างไร
และสายตาของเรามองเห็นตัวหนังสือ และรูปภาพชัดเจนต่างกันอย่างไร
7.2 แบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มๆละ 4-5 คน
เลือกผู้นำและหัวหน้ากลุ่ม เลขานุการกลุ่มละ 1 คน
เพื่อคอยประสานงานและช่วยเหลือเพื่อนตามความจำเป็น เลขานุการออกมารับอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง
เช่น ขวดแก้วขนาดต่างๆ กรวย น้ำเปล่า สีผสมอาหาร หนังสือนิทาน
กาละมัง พร้อมทั้งแนะนำขั้นตอนการทดลอง และคอยดูแลอย่างใกล้ชิดระหว่างการทดลอง
7.3 จากนั้นครูให้เด็กเริ่มทำการทดลอง
7.3.1 เด็กทดลองใช้ขวดเปล่าที่มีขนาดแตกต่างกันส่องดูตัวหนังสือ
รูปภาพในนิทาน
7.3.2 เด็กทดลองเทน้ำใส่ขวดที่มีขนาดแตกต่างกัน พร้อมกับครูเล่านิทานและเด็กๆใช้ขวดน้ำขนาดต่างๆส่องตัวหนังสือและรูปภาพในนิทาน
7.3.3 เมื่อฟังนิทานจบให้เด็กใช้ขวดน้ำส่องดูสิ่งต่างๆรอบห้องเรียนตามความสนใจ
7.4. เด็กและครูร่วมกันสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่ใช้แว่นขยายจากขวดน้ำขนาดต่างกันและส่องดูตัวหนังสือ
รูปภาพ และสิ่งต่างๆรอบห้องเรียน
7.4.1
จากการทดลองใช้ขวดเปล่าที่ยังไม่เติมน้ำส่องดูตัวหนังสือ รูปภาพ
ปรากฏว่า ตัวหนังสือและรูปภาพมีขนาดเท่าเดิม
7.4.2 จากการทดลองเทน้ำใส่ในขวดน้ำที่มีขนาดแตกต่างกันแล้วส่องดูตัวหนังสือ
รูปภาพ สิ่งต่างๆรอบห้องเรียนปรากฏว่า ขวดน้ำขนาดต่างกันก็สามารถส่องและขยายขนาดของสิ่งต่างๆให้ใหญ่ขึ้นได้
7.4.3 จากการทดลองเด็กๆพบว่าเมื่อส่องตัวหนัง รูปภาพ
และสิ่งต่างๆรอบห้องเรียนในระยะห่างที่เหมาะสมจะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น และเด็กทดลองเติมสีใส่ลงไปในน้ำก็มองเห็นรูปภาพขยายใหญ่เหมือนกันแต่ไม่ค่อยชัดเจนเหมือนขวดน้ำที่ไม่เติมสี
7.4.4 ขวดน้ำที่ใส่น้ำไม่เต็มและมีฟองอากาศ
เมื่อส่องผ่านฟองอากาศจะทำให้เห็นวัตถุมีขนาดเท่าเดิม เพื่อให้เด็กมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
และครูต้องการบูรณาการความรู้ที่เกิดขึ้นให้เด็กได้รับพัฒนาการการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ในอนาคต เช่น
7.4.4.1 พัฒนาการการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เด็กได้เรียนรู้เรื่อง “แว่นขยายจากขวดน้ำ”ขวดใส่น้ำก็สามารถส่องสิ่งต่างและขยายให้มีขนาดใหญ่ขึ้นใช้ส่องแทนแว่นขยายในเบื้องต้นได้
7.4.4.2
พัฒนาการการเรียนรู้คณิตศาสตร์
เด็กได้เรียนรู้เรื่อง รูปทรงต่างๆ ขนาด
การคาดคะเน
7.4.4.3 พัฒนาการการเรียนรู้ศิลปะ เด็กได้เรียนรู้เรื่องสี
จะคงสีเดิมเมื่อส่องผ่านแว่นขยาย จากขวดน้ำ
7.5
การนำเสนอผลงานของตนเอง ทั้งรายบุคคล และรายกลุ่ม
7.6 ครูสรุปเพิ่มเติมเรื่อง “แสง สี และการมองเห็น”
(การหักเหของแสง) การทดลองนี้เด็กๆจะได้รู้เรื่องเลนส์นูนมีคุณสมบัติรวมแสงและขยายภาพของวัตถุเล็กให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
การเดิมน้ำลงในภาชนะทรงกระบอก เช่นขวดแก้ว เพื่อใช้แทนเลนส์รวมแสงได้ แว่นขยายแต่ละอันจะมีระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างเลนส์กับวัตถุแตกต่างกัน
แต่เราสามารถหาระยะห่างที่เหมาะสมได้โดยการขยับแว่นขยายเข้าออกจากวัตถุ เรามองเห็นวัตถุหลังขวดน้ำมีขนาดขยายใหญ่ขึ้น
เนื่องจากแสงที่เดินทางจากอากาศไปยังน้ำเกิดการหักเห
8. ผลการทำโครงงานของเด็กปฐมวัย
เด็กมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ได้รับรู้เรื่องราวจากสื่อด้วยการสังเกต รู้จักคิด
ตั้งคำถาม
และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง มีความเข้าใจ สนใจในขั้นตอนการทดลองวิทยาศาสตร์ สามารถบูรณาการได้หลากหลาย เช่น
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะและภาษาไทย พัฒนาพัฒนาการของเด็กได้ครอบคลุมทั้ง 4
ด้าน
จากกิจกรรมอย่างมีความสุขและจดจำ
สนทนาโต้ตอบ
เล่าเรื่องราวจากการทำกิจกรรมได้อย่างมีความสุข เรียนรู้การทำงานจากง่ายไปหายาก
ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขตรงตามมาตรฐานและกรอบงานที่สังคมกำหนดได้อย่างถูกต้อง มีความคิดรวบยอดในการเรียนรู้ แสวงหาคำตอบให้ตนเองด้วยวิธีการที่หลากหลาย
9.
สรุปผลที่เกิดจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการทำโครงงานและผลจากการทำโครงงาน
9.1
เด็กมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 9.2. เด็กเป็นคนชั่งสังเกต กล้าคิด
ชอบตั้งคำถาม การค้นหาคำตอบด้วยตนเอง 9.3. เด็กมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องแว่นขยาย และสนใจในการทดลองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
9.4.
เด็กสนใจทำกิจกรรมและมีบูรณาการทักษะวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะและภาษาไทย
9.5. เด็กมีพัฒนาพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้ง 4
ด้านจากกิจกรรมอย่างมีความสุขเพื่อการจดจำที่ดี เด็กมีพัฒนาการด้านใดเพิ่มขึ้นบ้าง
จากกิจกรรมการบูรณาการการเรียนรู้ที่หลากหลายทำให้กิจกรรมการทดลองประสบผลสำเร็จ และ
สิ่งเกิดขึ้นใหม่กับเด็กๆ เช่น
ทำให้เด็กได้รับการพัฒนาที่ครอบคลุมพัฒนาการทั้ง
4 ด้าน คือ
1. ด้านร่างกาย
กล้ามเนื้อใหญ่ – กล้ามเนื้อเล็ก
ใช้ได้คล่องแคล่ว
และประสานสัมพันธ์กัน
2.
ด้านอารมณ์จิตใจ
เด็กมีสุขภาพจิตดี มีความสุข เด็กชื่นชม และแสดงออกทางศิลป
3.
ด้านสังคม
เด็กสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ตลอดจนเป็นสมาขิกที่ดีของกลุ่มได้
4.
ด้านสติปัญญา
มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และมีทักษะในการแสวงหาวามรู้ สามารถบูรณาการการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ไปสู่ทักษะคณิตศาสตร์ ศิลปศึกษา
และมีความสามารถในการใช้ภาษาสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้อง
จากกิจกรรมที่สนุกสนานทำให้เด็กๆ จดจำการเรียนรู้ได้ดี มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี และเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ ในระดับประถมศึกษาหรือชั้นสูงต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น